รู้ไว้ใช่ว่า เงินประกันชีวิตไม่ใช่มรดก ไม่ตกทอดสู่ทายาท
รู้ไว้ใช่ว่า เงินประกันชีวิตไม่ใช่มรดก ไม่ตกทอดสู่ทายาท ตั้งแต่คลอดออกมาและอยู่รอดเป็นทารก คนคนนั้นจะมีสภาพเป็นบุคคล เมื่อมีสภาพบุคคลแล้วจะมีกองทรัพย์
สินสอดทองหมั้น อยู่ร่วมในพิธีแต่งงานของคนไทยมานาน แม้ในปัจจุบันจะมีความนิยมน้อยลง แต่ผู้คนก็ยังมีการเรียกสินสอดกันอยู่
บทความนี้ JusThat จะขอนำเสนอเรื่องค่าสินสอด ทองหมั้น ในมุมมองทางกฎหมาย สินสอดสำคัญมากแค่ไหน จำเป็นต้องให้สินสอดเสมอไปหรือไม่ ให้แล้วเอาคืนได้หรือเปล่า ตกลงจะคืนแต่ไม่คืนทำได้ไหม บอกจะแต่งแต่เจ้าบ่าวหนีงานแต่ง ฝ่ายเจ้าสาวมีสิทธิเรียกค่าสินสอดไหม เอาคืนยังไงถึงจะถูกกฎหมาย
สินสอดจะมีลักษณะที่สำคัญอยู่ 3 อย่าง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437
ถ้าให้เพื่อขอขมาที่ไปอยู่ด้วยกันก่อนแต่ง ให้เพื่อจะได้จัดพิธีแต่งงานแต่ไม่มีเจตนาจะจดทะเบียนสมรสกัน เงิน ทอง ที่ให้ไปไม่เรียกว่า “สินสอด” ตามกฎหมายนะ เพราะการแต่งงาน คือ การจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1457 การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น
มาตรา 1437 การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น เมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นสิทธิแก่หญิง
สินสอด เป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง แล้วแต่กรณี เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส
ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสำคัญอันเกิดแก่หญิงหรือโดยมีพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบ ทำให้ชายไม่สมควรหรือไม่อาจสมรสกับหญิงนั้น ฝ่ายชายเรียกสินสอดคืนได้
การให้โดยเสน่หาเป็นสัญญาที่ผู้ให้โอนทรัพย์สินของตนเองให้แก่ผู้อื่น เรียกว่า ผู้รับ โดยผู้รับยอมรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้ และการให้จะสมบูรณ์ต่อเมื่อมีการส่งมอบของที่ให้ ตามมาตรา 521-523
เนื่องจาก สินสอดจะต้องเป็นทรัพย์สินที่ฝ่ายชายมอบให้พ่อ แม่ หรือผู้ปกครองฝ่ายหญิงเท่านั้น ดังนั้น การที่ฝ่ายหญิงตอบตกลงจะแต่งงานจดทะเบียนสมรสกันกับฝ่ายชายด้วยตัวเอง และเรียกสินสอดเอง ถึงแม้ฝ่ายชายจะมอบให้ตามที่ตกลงกันและเรียกว่าสินสอด แต่ตามกฎหมายจะถือเป็นทรัพย์สินที่ให้โดยเสน่หา ไม่ใช่สินสอดนะ
เรื่องความจำเป็นในการให้สินสอดเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ขึ้นอยู่กับการตกลงกัน ว่าจะให้หรือไม่ให้ บางครอบครัวอาจไม่เรียกสินสอดเลยสักบาท แต่บางครอบครัวก็อาจเรียกสินสอดมากเกินไปจนทำให้ฝ่ายชายต้องยอมถอดใจไปเลยก็มี
ซึ่งตามกฎหมายก็ไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าจะต้องให้สินสอดจึงจะจดทะเบียนสมรสกันได้ ดังนั้น หากใครอยากแต่งงานกันโดยไม่มีค่าสินสอดก็สามารถทำได้ ไม่มีความผิดอะไร เพราะสินสอดไม่ใช่ประเด็นสำคัญในการสมรส แต่สิ่งที่สำคัญคือเจตนาของคน 2 คนว่ายินยอมเป็นสามี ภรรยากันหรือไม่
มาตรา 1458 การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายหญิงยินยอมเป็นสามีภริยากัน และต้องแสดงการยินยอมนั้นให้ปรากฏโดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียน และให้นายทะเบียนบันทึกความยินยอมนั้นไว้ด้วย
ดังที่เราเคยทราบข่าวกันมาบ้าง กรณีเจ้าบ่าวล้มงานแต่ง โดยที่ฝ่ายเจ้าสาวไม่ได้ทำอะไรผิด ถึงแม้จะไม่มีการแต่งงานเกิดขึ้น แต่หากมีการตกลงกันว่าจะให้สินสอดเพื่อแต่งงานจดทะเบียนสมรสกัน ฝ่ายเจ้าสาวก็มีสิทธิเรียกร้องค่าสินสอดได้ตามกฎหมาย เพราะฝ่ายเจ้าบ่าวเป็นคนผิดสัญญา ซึ่งจะถือเป็นการผิดสัญญาทางแพ่ง โดยที่ฝ่ายหญิงต้องฟ้องเรียกค่าสินสอดเป็นคดีแพ่ง เพราะการตกลงว่าจะให้สินสอดนั้นเป็นสัญญาตามกฎหมาย ใครเป็นฝ่ายผิดสัญญาคนนั้นมีหน้าที่รับผิดชอบ ดังนั้น ตกลงว่าจะให้สินสอดก็ต้องหามาให้ตามที่สัญญาไว้
และนอกจากฝ่ายหญิงจะมีสิทธิ์เรียกค่าสินสอดได้แล้ว ยังสามารถเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเตรียมงานแต่งได้ด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1140
มาตรา 1440 ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้
(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น
(2) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้น บิดามารดา หรือบุคคลผู้กระทำการในฐานะเช่นบิดามารดาได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร
(3) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่นอันเกี่ยวแก่อาชีพหรือทางทำมาหาได้ของตนไปโดยสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส
อยากแต่งงานกัน ฝ่ายชายก็อดทน ประหยัด เก็บหอมรอมริบ หารายได้เพิ่มทุกทาง เพื่อให้ได้เงิน ทอง ตามจำนวนที่พ่อแม่ฝ่ายหญิงเรียก แต่เมื่อให้ไปแล้วทำตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ทุกอย่าง แต่ต่อมาพบว่าฝ่ายหญิงไม่ต้องการแต่งงานจดทะเบียนสมรสด้วย แบบนี้ก็สามารถเรียกค่าสินสอดคืนได้ ตามมาตรา 1437 วรรค 3 ซึ่งสิทธิเรียกคืนค่าสินสอดจะเกิดได้ 2 กรณี คือ
แต่ถ้าแต่งงานกันไปแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็ไม่สนใจที่จะไปจดทะเบียนสมรสกัน หรือจดทะเบียนสมรสไปแล้วอยู่กันไม่ได้เลยจดทะเบียนหย่า ผู้ชายจะฟ้องเรียกค่าสินสอดคืนไม่ได้นะ และในกรณีที่หมั้นกันไว้แล้วแต่ไม่ได้แต่งเพราะมีใครคนใดคนหนึ่งเสียชีวิต กรณีนี้ก็ไม่สามารถเรียกค่าสินสอดคืนได้เช่นกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1441
การจะเรียกสินสอดคืน ต้องพูดคุยตกลงกัน และให้อีกฝ่ายยอมคืนให้ด้วยตัวเอง หากไม่ยอมคืนก็สามารถใช้สิทธิฟ้องร้องกันได้ตามกฎหมาย ซึ่งการฟ้องเรียกสินสอด มีอายุความ 10 ปี
แต่ถ้าเอาคืนโดยการขโมย ข่มขู่ คุกคาม บังคับ ทำร้ายร่างกาย ทำลายทรัพย์สินของอีกฝ่ายหรือผู้อื่น ถึงแม้ว่าจะทำไปเพราะตัวเองมีสิทธิ์เอาสินสอดคืนก็ตาม แต่การไปเอาคืนแบบนี้ก็จะมีความผิดตามกฎหมาย อีกฝ่ายสามารถดำเนินคดีอาญาได้และอาจเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นได้ด้วย ซึ่งจะเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา เช่น
การที่คน 2 คนจะแต่งงานกัน จดทะเบียนสมรสเป็นสามี ภรรยากันตามกฎหมาย และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ต้องเกิดจากความรัก และความเข้าใจของคน 2 คน รวมถึงคนรอบตัวด้วย หากเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยความบาดหมางก็คงเป็นเรื่องยากที่จะอยู่ด้วยกันได้ การเรียกค่าสินสอดก็เช่นเดียวกัน จะยึดถือเอาตามที่สังคมคาดหวังแล้วลำบากตัวเอง หรือเลือกตามความเหมาะสม อาจมีหรือไม่มีก็ได้ขึ้นอยู่กับความสบายใจของแต่ละครอบครัว สุดท้ายแล้วจะเลือกแบบไหนก็เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง เพราะชีวิตของแต่ละคนแต่งต่างกัน และการดำเนินชีวิตก็ไม่มีสูตรสำเร็จเช่นกัน
จะเห็นได้ว่า?! คดีลักษณะนี้มีความซับซ้อน
เราแนะนำให้เลือกใช้ทนายความที่มีประสบการณ์
หมดกังวลปัญหาทนายความทิ้งคดี
เช็คค่าใช้จ่ายได้ตั้งแต่ต้นจนจบโดย JusThat
รู้ไว้ใช่ว่า เงินประกันชีวิตไม่ใช่มรดก ไม่ตกทอดสู่ทายาท ตั้งแต่คลอดออกมาและอยู่รอดเป็นทารก คนคนนั้นจะมีสภาพเป็นบุคคล เมื่อมีสภาพบุคคลแล้วจะมีกองทรัพย์
พยานหมาย ทำอย่างไรเมื่อได้รับหมายให้ไปเป็นพยานศาล อย่าเพิ่งตกใจ ถ้าคุณได้รับหมายเรียกให้ไปเป็นพยานศาล JusThat ได้นำข้อมูล หลักการปฏิบัติตัวในฐานะพยานศ
รับช่วงสิทธิ คืออะไร รับช่วงสิทธิ คืออะไร มีความสัมพันระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้อย่างไร JusThat จะพาไปหาคำตอบและทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กันในบทความนี้เลย
Bangkok, Thailand
Line @justhatapp
Bangkok, Thailand
Line @justhatapp