รู้ไว้ใช่ว่า เงินประกันชีวิตไม่ใช่มรดก ไม่ตกทอดสู่ทายาท
รู้ไว้ใช่ว่า เงินประกันชีวิตไม่ใช่มรดก ไม่ตกทอดสู่ทายาท ตั้งแต่คลอดออกมาและอยู่รอดเป็นทารก คนคนนั้นจะมีสภาพเป็นบุคคล เมื่อมีสภาพบุคคลแล้วจะมีกองทรัพย์
เวลาเกิดอุบัติเหตุและมีการนำข่าวมาเสนอผ่านช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะมีแค่ภาพหรือมาเป็นคลิปวิดีโอ ความคิดเห็นที่มักมีในบทสนทนาอยู่เป็นประจำ คือ ประมาทร่วม
“เดี๋ยวตำรวจก็บอกประมาทร่วม”
“ดูก็รู้ว่าประมาทร่วม”
“ชนแรงขนาดนี้สุดท้ายก็ได้แค่ข้อหาประมาทร่วม”
แต่ในความจริงแล้ว ประมาทร่วม มีในข้อกฎหมายหรือไม่ บุคคลสามารถทำความประมาทร่วมกันได้หรือเปล่า บทความนี้ JusThat มีคำตอบ
คำว่า ” ประมาทร่วม “ มักถูกยกมาใช้บ่อย ๆ เวลาที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ส่วนหนึ่งมาจากการอยากตัดจบปัญหา ซ่อมใครซ่อมมันแล้วก็จบกันไป เพื่อไม่ให้มีปัญหายืดเยื้อด้วยเหตุผลที่ว่าประมาทร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่มีคำว่าประมาทร่วมในกฎหมายนะ และไม่เคยมีศาลใดพิพากษาว่าจำเลยและโจทก์กระทำประมาทร่วมกัน และการกระทำโดยประมาทนั้นเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ซึ่งในทางกฎหมายความประมาทไม่มีตัวการร่วม ดังนั้นบุคคลจึงร่วมกันทำประมาทไม่ได้ แต่หากมีข้อเท็จจริงว่าร่วมกันทำ การกระทำนั้นก็จะกลายเป็นการกระทำโดยเจตนาทันที ไม่ใช่การกระทำโดยประมาท
การกระทำโดยประมาทมีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรค 4
กระทำโดยประมาท ได้แก่กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอ ไม่
แปลเป็นภาษาทั่วไปที่เข้าใจง่าย คือ การทำไปโดยไม่เจตนา ไม่มีเจตนาที่จะทำหรือไม่ทำสิ่งนั้น แต่เป็นการทำไปด้วยความไม่ระวัดระวังที่ควรต้องมีตามสภาพของตัวผู้กระทำและตามสภาพแวดล้อมในขณะนั้น และอาจใช้ความระมัดระวังที่ว่านั้นได้ในตอนนั้น แต่ไม่ใช้ความระมัดระวังที่ดีพอ
แปลเป็นภาษาทั่วไปที่เข้าใจง่าย คือ การทำไปโดยไม่เจตนา ไม่มีเจตนาที่จะทำหรือไม่ทำสิ่งนั้น แต่เป็นการทำไปด้วยความไม่ระวัดระวังที่ควรต้องมีตามสภาพของตัวผู้กระทำและตามสภาพแวดล้อมในขณะนั้น และอาจใช้ความระมัดระวังที่ว่านั้นได้ในตอนนั้น แต่ไม่ใช้ความระมัดระวังที่ดีพอ
แม้ไม่มีคำว่าประมาทร่วมในกฎหมาย แต่ในชั้นสอบสวนก็มักมีการยกคำว่าประมาทร่วมมาใช้บ่อย ๆ ในความหมายที่ว่าต่างฝ่ายต่างประมาท หรือประมาทกันทั้ง 2 ฝ่าย มีความผิดทั้งคู่ ไม่ใช่ร่วมกันทำประมาทตามคำที่นำมาใช้
ถ้าจะใช้ให้ถูกต้อง เราต้องใช้คำว่า ” ต่างฝ่ายต่างประมาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน “ แปลได้ตรงตัวเลยคือฝ่ายหนึ่งประมาท อีกฝ่ายหนึ่งก็ประมาท โดยที่ต่างฝ่ายต่างประมาทเท่า ๆ กัน ใช้เป็นภาษาทั่วไปเป็น ต่างฝ่ายต่างประมาทพอกัน ดูจะเข้าใจได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก
หากจะดูว่าฝ่ายไหนควรได้รับค่าสินไหมทดแทน (ค่าเสียหาย) ก็ต้องดูว่าฝ่ายไหนประมาทมากกว่ากัน ฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่า หรือต่างฝ่ายต่างประมาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ไม่ได้ดูที่ใครเสียหายมากว่ากัน เช่น A ขับรถชนกับ B โดยที่รถของ A เสียหายมากกว่า B และรถของ B ราคาแพงกว่ารถของ A และอาจต้องเสียค่าซ่อมมากกว่า A แต่ทั้งสองฝ่ายต่างประมาทพอกัน ทำให้ไม่มีผ่ายไหนเรียกค่าเสียหายจากอีกฝ่ายได้
ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา
ฎีกาที่ 17868/2556 เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ในการขับรถของทั้งสองฝ่ายว่าฝ่ายใดประมาทยิ่งหย่อนกว่ากันแล้ว จะเห็นได้ว่าหากจำเลยที่ 1 ใช้ความระมัดระวังตามสมควรย่อมต้องมองเห็นรถจักรยานยนต์ที่ ก. ขับมาและต้องชะลอความเร็วไม่ให้เกิดการเฉี่ยวชนกัน ขณะเดียวกัน ก. ซึ่งขับรถจักรยานยนต์ย้อนเส้นทางเดินรถออกจากซอยก็จะต้องหยุดรถดูว่ามีรถแล่นมาทางด้านขวาหรือไม่ เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงขับออกไป แต่ทั้งจำเลยที่ 1 และ ก. หาได้กระทำไม่ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และ ก. ประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน โจทก์และจำเลยที่ 1 จึงไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายต่อกันได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 442 ประกอบมาตรา 223 จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงไม่จำต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 442 ถ้าความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของผู้ต้องเสียหายประกอบด้วยไซร้ ท่านให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา 223 มาใช้บังคับ โดยอนุโลม
มาตรา 223 ถ้าฝ่ายผู้เสียหายได้มีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายด้วยไซร้ ท่านว่าหนี้อันจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ฝ่ายผู้เสียหายมากน้อยเพียงใดนั้นต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ ข้อสำคัญก็คือว่าความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร
วิธีเดียวกันนี้ ท่านให้ใช้แม้ทั้งที่ความผิดของฝ่ายผู้ที่เสียหายจะมีแต่เพียงละเลยไม่เตือนลูกหนี้ให้รู้สึกถึงอันตรายแห่งการเสียหายอันเป็นอย่างร้ายแรงผิดปกติ ซึ่งลูกหนี้ไม่รู้หรือไม่อาจจะรู้ได้ หรือเพียงแต่ละเลยไม่บำบัดปัดป้อง หรือบรรเทาความเสียหายนั้นด้วย อนึ่งบทบัญญัติแห่ง มาตรา 220 นั้น ท่านให้นำมาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
JusThat บริการฟ้องด้วยตัวเอง
ค่าบริการปรึกษาเริ่มต้น 1,500 บาท
ประหยัดค่าทนายความได้หลายหมื่นบาท
รู้ไว้ใช่ว่า เงินประกันชีวิตไม่ใช่มรดก ไม่ตกทอดสู่ทายาท ตั้งแต่คลอดออกมาและอยู่รอดเป็นทารก คนคนนั้นจะมีสภาพเป็นบุคคล เมื่อมีสภาพบุคคลแล้วจะมีกองทรัพย์
พยานหมาย ทำอย่างไรเมื่อได้รับหมายให้ไปเป็นพยานศาล อย่าเพิ่งตกใจ ถ้าคุณได้รับหมายเรียกให้ไปเป็นพยานศาล JusThat ได้นำข้อมูล หลักการปฏิบัติตัวในฐานะพยานศ
รับช่วงสิทธิ คืออะไร รับช่วงสิทธิ คืออะไร มีความสัมพันระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้อย่างไร JusThat จะพาไปหาคำตอบและทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กันในบทความนี้เลย
Bangkok, Thailand
Line @justhatapp
Bangkok, Thailand
Line @justhatapp