หลายคนอาจเคย แจ้งความ แล้วไม่สามารถแจ้งได้ หรือแจ้งแล้วเรื่องเงียบคดีไม่เดิน ทำให้มีคำถามอยู่ภายในใจเต็มไปหมด ว่าทำไมการแจ้งความร้องทุกข์จึงยุ่งยากนัก ลงบันทึกประจำวันไว้แล้วทำไมตำรวจไม่ดำเนินคดีให้ แจ้งความไปตั้งนานแล้วแต่ก็ไม่เห็นความคืบหน้า หากเจอแบบนี้เราจะทำยังไงได้บ้าง
JusThat จึงรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นในการแจ้งความอย่างไรให้สำเร็จมาใว้ให้ทุกคนที่นี่แล้ว ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านต่อกันเลย
เนื่องจากการแจ้งความร้องทุกข์ ลงบันทึกประจำวัน และการกล่าวโทษนั้น มีเจตนาและผลทางกฎหมายที่แตกต่างกัน เราจึงต้องทำความเข้าใจระหว่างการแจ้งความ การลงบันทึกประจำวัน และการยื่นคำกล่าวโทษกันก่อน ว่าแต่ละอย่างมีความแตกต่างกันอย่างไร เหตุการณ์แบบไหนควรแจ้งอะไร
การแจ้งความ คือ การที่เรานำเรื่องที่เราเดือดร้อนไปร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจรับคำร้องทุกข์ เช่น พนักงานสอบสวน หรือพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจที่มีตำแหน่งหน้าที่รองหรือเหนือพนักงานสอบสวน และเป็นผู้ที่มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยตามกฎหมาย โดยมีเจตนาให้คนทำผิดได้รับโทษ หรือต้องการให้มีการดำเนินคดีจนถึงที่สุด ทำให้เกิดเป็นคดีความระหว่างเราซึ่งเป็นผู้เสียหายและอีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นคู่กรณี และเจ้าหน้าที่จะสามารถดำเนินคดีต่อไปได้
“คำร้องทุกข์” ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 หมายถึง การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ
การลงบันทึกประจำวัน คือ การนำเรื่องไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่รับทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง พนักงานสอบสวนที่รับเรื่องก็จะจดบันทึกลงในรายงานประจำวันเพื่อเป็นหลักฐาน หรือแจ้งเอกสารหายก็บันทึกลงรายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารหาย และกรณีนี้พนักงานสอบสวนจะดำเนินคดีต่อไม่ได้ เพราะคนแจ้งไม่มีเจตนาให้คนผิดได้รับโทษหรือไม่ต้องการดำเนินคดีนั่นเอง
การยื่นคำกล่าวโทษ คือ การที่เราพบเห็นเหตุการณ์ไม่ปกติ พบผู้เสียหาย หรือพบว่ามีการกระทำผิด แล้วนำเรื่องไปแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ว่ามีการทำผิดหรือมีความเสียหายเกิดขึ้น โดยที่เราจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวผู้กระทำผิดก็ได้ แต่ก็แจ้งไปก่อนเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถนำเรื่องที่เรากล่าวโทษไปพิจารณาเพื่อดำเนินคดีต่อไปได้
สรุปได้ว่าในการดำเนินคดีอาญานั้น เราสามารถนำเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน เพื่อให้มีการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดได้ เรียกว่า “การแจ้งความร้องทุกข์” ส่วนกรณีที่ต้องการแจ้งไว้เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานไม่ต้องการให้มีการดำเนินคดีใด ๆ เรียกว่า “การลงบันทึกประจำวัน” หรือเราไปพบเจอการทำความผิดหรือพบผู้เสียหาย เราก็สามารถแจ้งเหตุ ยื่นคำกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนได้ เพื่อให้ตำรวจเข้ามาช่วยเหลือผู้เสียหายและมีการดำเนินคดีต่อไปนั่นเอง
ผู้เสียหายตามกฎหมายเป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์ เพื่อให้คนทำความผิดได้รับโทษ
กรณีไหนบ้างที่ผู้อื่นแจ้งความร้องทุกข์แทนได้ (ผู้มีอำนาจจัดการแทน)
ทั้งนี้ หากผู้เยาว์อยากแจ้งความเองก็สามารถทำได้นะ แต่ต้องมีความรู้สึกผิดชอบแล้วและมีอายุพอสมควร เช่น A อายุ 18 ปี มีความรับผิดชอบดูแลตัวเองได้ ไปแจ้งความข้อหาฉ้อโกงเพราะถูกหลอกซื้อของออนไลน์ เป็นต้น
ยื่นคำกล่าวโทษ
ใครก็ได้ที่พบเห็นการทำความผิด พบเห็นผู้เสียหาย อยู่ในเหตุการณ์ หรือได้รับความเสียหายเดือดร้อนแต่ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย สามารถยื่นคำกล่าวโทษให้พนักงานสอบสวนนำเรื่องไปพิจารณาดำเนินคดีต่อไปได้
เวลาที่เราไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเข้าข่ายความผิดอะไร เราก็สามารถไปแจ้งความร้องทุกข์ได้นะ เพราะเราไม่จำเป็นต้องระบุฐานความผิด ไม่จำเป็นต้องรู้ข้อกฎหมายว่าเป็นความผิดข้อหาใด แค่เล่าเรื่องให้พนักงานสอบสวนฟังตามความเป็นจริงและต้องการให้มีการดำเนินคดี เท่านี้ก็สามารถแจ้งความได้แล้ว เพราะการตั้งข้อหาเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน เขาจะต้องสอบคำให้การเราก่อนและตรวจสอบพยานหลักฐานต่าง ๆ จากนั้นจึงจะตั้งข้อหา
แต่เมื่อตรวจสอบแล้วในบางครั้งเพื่อน ๆ ก็อาจได้รับคำตอบว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งต้องฟ้องศาลด้วยตัวเองนะ เพราะตำรวจดำเนินคดีแพ่งให้ไม่ได้ ตำรวจมีอำนาจในการดำเนินคดีที่มีมูลความผิดจากการทำผิดอาญาเท่านั้น ซึ่งก็คือคดีอาญาและคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา โดยแยกออกเป็น 2 แบบ คือความผิดอาญาอันยอมความได้ และความผิดอาญาแผ่นดิน
ความผิดอาญาอันยอมความได้ คือ ความผิดต่อส่วนตัว เป็นการทำความผิดที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ถูกกระทำเท่านั้น ไม่เกิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม และกฎหมายจะต้องกำหนดเอาไว้ว่าเป็นความผิดอาญาอันยอมความได้ ซึ่งผู้เสียหายหรือผู้มีอำนาจจัดการแทนต้องแจ้งความร้องทุกข์ ภายใน 3 เดือน นับตั้งแต่รู้เรื่องและรู้ตัวคนทำผิด พนักงานสอบสวนจึงจะดำเนินคดีได้ หากปล่อยไว้จนพ้นกำหนด 3 เดือนแล้วคดีก็จะขาดอายุความ ทำให้เราไม่สามารถเอาผิดคนทำได้ หรือแจ้งความไปแล้วมีการชดใช้ คืนของ ยอมจ่ายค่าปรับ แล้วเราไม่ติดใจเอาความ ไม่อยากดำเนินคดีต่อไปก็สามารถยอมความกันได้ เช่น หมิ่นประมาท เช็คเด้ง ฉ้อโกง ยักยอกทรัพย์ บุกรุก เป็นต้น
ความผิดอาญาแผ่นดิน คือ ความผิดที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้ถูกกระทำโดยตรงและมีผลกระทบต่อสังคมโดยรวม เป็นความผิดที่ยอมความไม่ได้และรัฐเป็นผู้เสียหายด้วย ดังนั้น ทุกคนสามารถยื่นคำกล่าวโทษได้ หรือผู้เสียหาย/ผู้มีอำนาจจัดการแทนแจ้งความดำเนินคดีเองก็ได้ หรือไม่มีการแจ้งความร้องทุกข์ ยื่นคำกล่าวโทษ แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ทราบเรื่องก็สามารถดำเนินคดีกับคนทำความผิดเพื่อส่งให้อัยการฟ้องศาลต่อไปได้ เช่น ลักทรัพย์ กรรโชกทรัพย์ บุกรุกในเวลากลางคืน ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นต้น
นอกจากเจตนาที่เราต้องการให้คนทำผิดได้รับโทษแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือเอกสารสำคัญและพยานหลักฐาน เราจึงควรเตรียมเอกสารและหลักฐานต่าง ๆ ไปให้พร้อมในทีเดียว เพราะถ้าไม่นำไปก็อาจทำให้แจ้งความไม่สำเร็จได้
เอกสารสำคัญที่ควรมีติดตัวไปแจ้งความ
เอกสารสำคัญกรณีแจ้งความแทนผู้เสียหาย
นอกจากเอกสารสำคัญแล้ว เราต้องเตรียมหลักฐานที่เกี่ยวข้องไปด้วยเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานได้เร็วยิ่งขึ้น เช่น แชทการสนทนาเราก็สามารถพริ้นต์ใส่กระดาษ A4 แบบขาวดำได้ นำคลิปวิดีหรือคลิปเสียงใส่แฟลชไดรฟ์ไป และห้ามดัดแปลงข้อมูลต่าง ๆ อย่างเด็ดขาด เราต้องรักษาพยานหลักฐานทุกอย่างให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นะ เพราะการดัดแปลงจะมีผลต่อความน่าเชื่อถือและน้ำหนักของพยานด้วย
หากมีหลักฐานในที่เกิดเหตุ เช่น รอยนิ้วมือ การงัดแงะ เสื้อผ้าที่สวมใส่ขณะเกิดเหตุ อาวุธ อุปกรณ์ที่ใช้ทำร้ายกัน คราบเลือด ฯลฯ เราควรแจ้งเจ้าหน้าที่ให้เข้าไปตรวจสอบให้เร็วที่สุด และอย่าเพิ่งเคลื่อนย้าย หยิบจับ ทำความสะอาดใด ๆ ให้รอจนกว่าเจ้าหน้าที่จะเข้าไปตรวจสอบ
เมื่อเราเตรียมเอกสารและหลักฐาน พร้อมทั้งลำดับเหตุการณ์เรียบร้อยแล้ว ให้เราไปแจ้งความที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน หรือสถานีตำรวจในท้องที่ที่เกิดเหตุ แต่การแจ้งความนอกพื้นที่ที่เกิดเหตุจะมีขั้นตอนเพิ่มขึ้นมาและทำให้เรารอนานขึ้นกว่าเดิม เพราะหลังจากรับแจ้งความแล้วพนักงานสอบสวนที่รับแจ้งต้องส่งเรื่องต่อให้พนักงานสอบสวนในพื้นที่ที่เกิดเหตุดูแลต่อ
ถึงตรงนี้เพื่อน ๆ ก็อาจสงสัยว่าเราสามารถไปแจ้งความได้ถึงกี่โมง โดยปกติแล้วที่สถานีตำรวจจะมีร้อยเวรสอบสวนเข้าเวรอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรอรับเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน พวกเขาจะแบ่งเวลาทำงานกันและหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไปเรื่อย ๆ ดังนั้น เราจะไปเวลาไหนก็ได้ตามที่สะดวก เมื่อไปถึงให้แจ้งเจ้าหน้าที่ว่ามาแจ้งความดำเนินคดี ไม่ต้องการลงบันทึกประจำวัน และเข้าพบร้อยเวรสอบสวนที่เข้าเวรอยู่ในขณะนั้น
พนักงานสอบสวนก็จะซักถามถึงที่มาที่ไปของเรื่องราว ขั้นตอนนี้เราต้องอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จำได้ มีใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ใครอยู่ในเหตุการณ์บ้าง คนทำผิดมีลักษณะยังไง ความเสียหายที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้าง และต้องระบุวัน เวลา และสถานที่เกิดเหตุให้ถูกต้อง เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะตำรวจต้องนำไปพิจารณาเพื่อตั้งข้อหาและดำเนินสอบสวนเพื่อสรุปสำนวนส่งให้อัยการ หากอัยการฟ้องไปและมีข้อมูลที่ผิดพลาดก็อาจทำให้ศาลยกฟ้องได้
นอกจากการเล่ารายละเอียดและยืนยันเจตนาว่าต้องการดำเนินคดีให้ถึงที่สุด หรือต้องการให้คนผิดได้รับโทษแล้ว เราต้องส่งหลักฐานต่าง ๆ ให้พนักงานสอบสวนนำไปประกอบในสำนวนด้วย หรือมีพยานบุคคลก็สามารถพาไปพบพนักงานสอบสวนได้ เพื่อให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำไว้เป็นพยาน ในขั้นตอนนี้หากมีอะไรที่เราไม่แน่ใจหรือไม่มั่นใจว่าใช่หรือไม่ เราไม่ควรชี้ชัดหรือเหมาเอาเองว่าใช่แน่ ๆ และห้ามโกหกสร้างเรื่องขึ้นมาเด็ดขาด เพราะถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่ความจริงก็จะทำให้เราถูกอีกฝ่ายดำเนินคดีกลับได้นะ
จากนั้นเราต้องตรวจสอบความถูกต้องของข้อความที่พนักงานสอบสวนบันทึกไว้ให้ละเอียดก่อนลงชื่อทุกครั้ง เพราะสิ่งที่พนักงานสอบสวนบันทึกไปจะเป็นสิ่งที่เรารับรองว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง และแบบฟอร์มที่ใช้บันทึกการแจ้งความดำเนินคดีจะต้องเป็นรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเท่านั้น ไม่ใช่รายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐาน หรือรายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารหาย และในรายงานนั้นจะต้องระบุอย่างละเอียดว่ามีความประสงค์จะให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตามกฎหมายต่อไป ดังนั้น หากมีอะไรที่ไม่ถูกต้องอย่าเพิ่งลงชื่อเด็ดขาด เราต้องแจ้งให้พนักงานสอบสวนแก้จุดที่ผิดพลาดในไขทันที เมื่อแก้ไขเสร็จแล้วเราค่อยลงชื่อในรายงาน หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนจะถ่ายสำเนารายประจำวันเกี่ยวกับคดีให้เรานำกลับมาด้วย 1 ชุด
เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สะดวกและรวดเร็ว เราสามารถแจ้งความออนไลน์คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ แต่ต้องเป็นคดีที่เราเป็นผู้เสียหายจากการทำความผิดทางเทคโนโลยี เช่น ถูกร้านค้าออนไลน์ฉ้อโกงเงิน ถูกแชร์ลูกโซ่ออนไลน์หลอก ถูกสแกมเมอร์หลอกให้โอนเงิน เป็นต้น
การลงทะเบียน
การแจ้งความออนไลน์
หลังจากที่เราแจ้งความเสร็จแล้วพนักสอบสวนจะเป็นผู้ดำเนินการต่อ โดยออกหมายเรียกไปผู้ต้องหาให้มารับทราบข้อกล่าวหาและสอบคำให้การ แต่ถ้าพนักงานสอบสวนดูพยานหลักฐานแล้วไม่ค่อยมีน้ำหนัก แต่เชื่อได้ว่าอาจมีการทำความผิดจริง กรณีนี้พนักงานสอบสวนก็สามารถออกหมายเรียกไปยังคู่กรณีในฐานะพยานเพื่อนำสอบคำให้การได้
เมื่อออกหมายเรียกไปแล้วอีกฝ่ายมาพบตามคำสั่ง หากเคลียร์กันลงตัวอีก ฝ่ายยอมรับผิดและชดใช้เงินคืน เช่น คดียักยอกทรัพย์ คดีฉ้อโกงธรรมดา แล้วยอมความกันการดำเนินคดีก็จะสิ้นสุดลงในชั้นสอบสวน แต่ถ้าเป็นความผิดอาญาแผ่นดินตำรวจก็จะต้องสรุปสำนวนส่งให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องต่อไป
แต่ถ้าออกหมายเรียกแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมมาและไม่แจ้งเหตุผลว่าทำไมจึงไม่มาพบพนักงานสอบสวนตามคำสั่ง พนักงานสอบสวนก็สามารถขอให้ศาลออกหมายจับได้ เพราะถือเป็นการขัดคำสั่งเจ้าพนักงานไม่ยอมมาตามหมายเรียก ต้องถูกจับมาสอบปากคำ แต่ไม่ได้หมายความว่าถูกจับเพราะทำความผิดนะ และถูกจับแล้วเขาจะได้ประกันตัวหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของพนักงานสอบสวนและศาลตามลำดับ หากพนักงานสอบสวนไม่ให้ประกันตัวก็จะมีการนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขัง เพื่อป้องกันการหลบหนีหรือไปวุ่นวายกับพยานหลักฐาน หลังฝากขังแล้วหากผู้ต้องหาอยากประกันตัวก็ต้องยื่นขอประกันตัวกับศาลต่อไป
นอกจากการออกหมายเรียกและขอหมายจับแล้ว พนักงานสอบสวนยังสามารถออกคำสั่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ด้วย เช่น มีคำสั่งให้ธนาคารอายัดเงินตามจำนวนที่มีการร้องทุกข์
แต่การดำเนินคดีก็ต้องใช้เวลา เพราะพนักงานสอบสวน 1 คนต้องดูแลคดีหลายร้อยคดี ทำให้อาจเกิดความล่าช้าในการดำเนินการได้ นอกจากนี้พนักงานสอบสวนจะต้องทำงานด้วยความรอบคอบให้มากที่สุด ต้องรวบรวมพยานหลักฐานและวิเคราะห์ข้อมูลให้ครบทุกด้านเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดใด ๆ พนักงานสอบสวนจึงต้องฟังความจากทั้ง 2 ฝ่าย ก่อนที่จะสรุปอะไรลงไปในสำนวนเพื่อให้อัยการนำไปพิจารณาฟ้องต่อศาลต่อไป เพราะการดำเนินคดีอาญามีเป้าหมาย คือ การค้นหาความจริงโดยใช้การตรวจสอบ พิสูจน์การกระทำความผิดว่ามีการทำผิดจริงหรือไม่และใครเป็นคนทำผิด
และพนักงานสอบสวนที่ดูแลคดีจะต้องรายงานผลการดำเนินคดีให้ผู้ร้องทุกข์หรือกล่าวโทษทราบด้วยนะ
หรือมีการออกหมายจับ จับผู้ต้องหาได้ พนักงานสอบสวนก็ต้องแจ้งให้เรารับรู้ด้วย ตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 419/2556 ข้อ 1.2
เวลาที่เราไปแจ้งความแล้วแต่พนักงานสอบสวนยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เราแจ้งไปนั้นเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา พนักงานสอบสวนก็จะรับแจ้งความไว้ก่อน จากนั้นเขาจะนำเสนอให้หัวหน้างานพิจารณา หากตรวจสอบแล้วผู้บังคับบัญชามีคำสั่งว่าเป็นคดีอาญา พนักงานสอบสวนก็จะดำเนินการตามขึ้นต่อนต่อไป แต่หากมีคำสั่งว่าเป็นคดีแพ่งพนักงานสอบสวนก็จะชี้แจงให้เราทราบว่าไม่สามารถดำเนินการให้ได้นะ เราจะต้องมาฟ้องศาลด้วยตัวเอง และให้เราลงชื่อในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีไว้เป็นหลักฐาน
รู้หรือไม่?! คดีแพ่งสามารถฟ้องศาลด้วยตัวเองได้ ไม่ต้องจ้างทนาย!
JusThat บริการฟ้องด้วยตัวเอง ค่าบริการปรึกษาเริ่มต้น 1,500 บาท ประหยัดค่าจ้างทนายความได้หลายหมื่นบาท
อย่างไรก็ตามการที่ตำรวจรับแจ้งความ หรือเราฟ้องศาลด้วยตัวเองแล้วศาลประทับรับฟ้องแล้ว ก็ไม่ใช่เครื่องยืนยันว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยมีความผิดจริง เพราะการรับแจ้งความหรือฟ้องคดีต่อศาลเป็นเพียงการเปิดโอกาสให้คู่กรณีได้ต่อสู้ พิสูจน์ข้อเท็จจริงและเรียกร้องความเป็นธรรม หากคดียังไม่สิ้นสุดก็ยังถือว่าฝ่ายที่ถูกกล่าวหาเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด (Final Judgment) ถึงตอนนั้นเราจึงจะบอกได้เต็มปากว่าเขาทำความผิดจริง
เราจึงก็ไม่ควรนำข้อมูลต่าง ๆ ของอีกฝ่ายมาโพสต์ประจาน ถึงแม้ตัวเราจะรู้ความจริงทุกอย่างว่าเขาทำอะไรบ้าง แต่เราควรเก็บรักษาข้อมูลหลักฐานให้อยู่สภาพที่ดีและสมบูรณ์ที่สุดพร้อมนำไปใช้ประกอบการดำเนินคดี หากหลักฐานของเราแน่นและสมบูรณ์คู่กรณีก็ดิ้นไม่หลุดและจะไม่ทำให้เสียรูปคดีด้วย นอกจากนี้การประจานยังถือเป็นการหมิ่นประมาท และอาจเข้าข่ายหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาได้ในกรณีที่เปิดเป็นสาธารณะต้องการให้คนทั่วไปรับรู้ในวงกว้าง ซึ่งทำให้อีกฝ่ายสามารถดำเนินคดีกับเราได้ด้วยนะ
Bangkok, Thailand
Line @justhatapp
Bangkok, Thailand
Line @justhatapp