1

JusThat

กู้ยืมเงิน คิดดอกเบี้ยเกินอัตรา 15% ปี เจ้าหนี้มีสิทธิ์เรียกคืนแค่เงินต้น จริงหรือ ?

อยากกู้ยืมเงินกัน มีฝ่ายเสนอ อีกฝ่ายรับสนองก็เกิดเป็นสัญญากู้ยืมเงินผูกพันกันทั้งผู้กู้และผู้ให้กู้ บางคนอาจให้กู้ยืมเงินโดยไม่เรียกดอกเบี้ย บางคนก็เรียกบ้างแต่ยังอยู่ในขอบเขตที่กฎหมายกำหนด แต่บางคนก็เรียกโหดเหมือนโกรธลูกหนี้ คิดอัตราดอกเบี้ยต่อปีแล้วบางคนอาจเรียกสูงถึง 30% ต่อปีเลยทีเดียว

และแน่นอนว่าการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา 15% ต่อปี ทำให้ลูกหนี้ติดอยู่ในวังวนหนี้อย่างไม่จบไม่สิ้น หาเงินได้ก็เพียงพอจะส่งได้แค่ดอกเบี้ย บางคนอาจส่งดอกนาน 5 – 6 ปี โดยไม่รู้ว่าหนี้ของตัวเองหมดไปแล้ว และเจ้าหนี้ก็ไม่ยอมบอกยังเก็บดอกเบี้ยไปเรื่อย ๆ โดยอ้างว่าลูกหนี้ยังคืนเงินต้นไม่ครบ

คิดดอกเบี้ยกู้ยืมเงินเกินอัตรา 15% ต่อปี ดอกเบี้ยจะตกเป็นโมฆะทั้งหมด เจ้าหนี้เรียกคืนได้แค่เงินต้น

กู้ยืมเงิน ทำไมคิดดอกเบี้ยได้สูงสุด 15% ต่อปี

การคิดดอกเบี้ยเกิน 15% ต่อปี จะทำได้ในกรณีที่กำหนดให้ดอกเบี้ยที่คิดเกินเป็นเบี้ยปรับ แต่หากกำหนดให้เป็นดอกเบี้ยของต้นเงินที่ยืมกันจะคิดได้สูงสุดแค่ 15% ต่อปีเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ที่ระบุว่า “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี”

เราจึงไม่สามารถคิดดอกเบี้ยกู้ยืมเงินได้มากกว่า 15% ต่อปี เพราะกฎหมายกำหนดให้เรียกได้สูงสุดแค่เท่านี้  ตอนนี้หลายคนก็อาจคิดว่า ก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรนะ คิดเกินก็แค่ลดลงมาให้เหลือ 15% ต่อปี ก็หมดเรื่อง แต่เรื่องไม่ได้ง่ายแบบนั้นน่ะสิ เพราะการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจะทำให้ดอกเบี้ยที่เรียกตกเป็นโมฆะทั้งหมด

กู้ยืมเงิน ดอกเบี้ยเกิน 15% ต่อปี ดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะจริงหรือ ?

ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้ตราพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราขึ้นมา เพื่อป้องกันไม่ให้มีการคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เพราะดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 เป็นดอกเบี้ยของการยืมใช้สิ้นเปลือง ไม่ได้เฉพาะเจาะจงลงไปที่การกู้ยืมเงิน ทำให้มีคนใช้ช่องโหว่ของกฎหมายคิดดอกเบี้ยมากกว่าร้อยละ 15 ต่อปี

ซึ่งมีการประกาศพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ.2475  โดยกำหนดโทษไว้ในมาตรา 3 ในความผิดฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สำหรับผู้ที่

  1. ให้ผู้อื่นยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนดไว้ หรือ
  2. เพื่อปิดบังการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย กําหนดข้อความที่ไม่จริงในเรื่องจํานวนเงินกู้หรืออื่นๆ ไว้ในหนังสือสัญญา หรือตราสารที่เปลี่ยนมือได้ หรือ
  3. นอกจากดอกเบี้ยแล้ว ยังรับเอากำไรอื่นเป็นเงินหรือสิ่งของ หรือด้วยวิธีเพิกถอนหนี้ หรืออื่น ๆ จนเห็นได้ชัดว่าประโยชน์ที่ได้รับไปมากเกินกว่าเงื่อนไขแห่งการกู้ยืม

พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มีผลบังคับใช้เรื่อยมาเกือบ 100 ปี จนกระทั่งปีพ.ศ. 2560 มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 เมื่อ 14 มกราคม พ.ศ.2560 และให้มีการยกเลิกพ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 เพราะไม่สอดคล้องกับสถาณการณ์ปัจจุบันแล้ว และการเรียกรับประโยชน์อื่นนอกจากดอกเบี้ยก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมีการปรับปรุงกฎหมายขึ้นมาใหม่

โดยมีการกำหนดโทษไว้ในมาตรา 4 ต้องจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สำหรับผู้ที่ทำสิ่งต่อไปนี้

  1. เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้
  2. กำหนดข้อความอันเป็นเท็จในเรื่องจำนวนเงินกู้หรือเรื่องอื่น ๆ ไว้ในหลักฐานการกู้ยืมหรือตราสารที่เปลี่ยนมือได้เพื่อปิดบังการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด หรือ
  3. กำหนดจะเอาหรือรับเอาซึ่งประโยชน์อย่างอื่นนอกจากดอกเบี้ย ไม่ว่าจะเป็นเงิน หรือสิ่งของหรือโดยวิธีการใด ๆ จนเห็นได้ชัดว่าประโยชน์ที่ได้รับนั้นมากเกินส่วนอันสมควรตามเงื่อนไขแห่งการกู้ยืมเงิน

ดังนั้นการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราจึงเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและมีโทษทางอาญา ดอกเบี้ยที่เรียกจึงตกเป็นโมฆะทั้งหมด ไม่ใช่ตกเป็นโมฆะเฉพาะดอกเบี้ยที่เรียกเกินเท่านั้น

กู้ยืมเงิน เรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ลูกหนี้เรียกเงินคืนได้ไหม

นางสาว A เป็นเจ้าแม่ปล่อยเงินกู้ มีนางสาว B มาขอกู้ยืมเงิน 100,000 บาท นางสาว A คิดดอกเบี้ย 20% ต่อเดือน โดยให้เหตุผลว่าดอกเบี้ยที่คิดน้อยกว่าที่อื่นแล้วนะที่อื่นคิดเป็นวัน นางสาว B ก็หาเงินได้พอส่งแค่ดอกเบี้ยเดือนละ 20,000 บาท ส่งมานานเป็นปีหนี้ก็ไม่หมดเพราะนางสาว A บอกว่าที่ส่งมาเป็นแค่ดอกเบี้ยเงินต้นยังอยู่ครบ นางสาว B เลยทำงานหาเงินส่งดอกเบี้ยต่อไป

หากคำนวณแล้วนางสาว B จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน เดือนละ 20,000 บาท เป็นเวลา 1 ปี คิดเป็นเงินทั้งหมด 240,000 บาท เท่ากับว่านางสาว A ได้เงินไปเกินกว่ายอดหนี้แล้ว เมื่อดอกเบี้ยทั้งหมดตกเป็นโมฆะ เท่ากับว่าดอกเบี้ยที่เรียกไปไม่มีผลบังคับตั้งแต่แรก นางสาว A จะไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้เลยแม้แต่บาทเดียว จึงต้องนำเงินที่ได้รับจำนวน 240,000 บาท หักลบกับเงินต้น 100,000 บาท เท่ากับว่าหนี้ของนางสาว B หมดลงแล้ว และเงินที่ได้รับมาก็เกินยอดหนี้อีกด้วย

แต่นางสาว B ก็ฟ้องเรียกเงินคืนไม่ได้หรือดำเนินคดีอาญากับนางสาว A ไม่ได้ เพราะนางสาว B ไม่ได้เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ตามมาตรา2(4)แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เนื่องจากนางสาว B ก็มีส่วนในการทำความผิด เพราะยินยอมในการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา และถือว่าเป็นการชําระหนี้ตามอําเภอใจ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 407 ที่ระบุว่า “บุคคลใดได้กระทำการอันใดตามอำเภอใจเหมือนหนึ่งว่าเพื่อชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระ ท่านว่าบุคคลผู้นั้นหามีสิทธิจะได้รับคืนทรัพย์ไม่” ทำให้นางสาว B เรียกเงินคืนไม่ได้

ถึงแม้นางสาว B จะดำเนินคดีกับนางสาว A ไม่ได้ แต่การเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราถือเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน นางสาว B จึงสามารถกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนได้ พนักงานสอบสวนก็จะสามารถดำเนินคดีกับนางสาว A ในความผิดฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดได้นั่นเอง

กู้ยืมเงิน เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราตกเป็นโมฆะ แต่ยังเรียกดอกเบี้ยผิดนัดได้

ดอกเบี้ยกู้ยืมเงินที่คิดจากเงินต้นในระหว่างที่ยังไม่ผิดนัดกับดอกเบี้ยผิดนัดเป็นเงินคนส่วนกัน ถึงแม้ดอกเบี้ยที่กำหนดจะตกเป็นโมฆะทั้งหมด แต่หากลูกหนี้ผิดนัดไม่ยอมจ่ายหนี้ให้ครบ เจ้าหนี้ก็สามารถเรียกดอกเบี้ยผิดนัดจากเงินต้นที่เหลืออยู่ได้

เช่น นาย F ให้นาย P กู้ยืมเงินจำนวน 20,000 บาท คิดดอกเบี้ย 20% ต่อปี ระยะเวลากู้ยืมเงิน 2 ปี ปีแรกนาย P จ่ายดอกเบี้ยให้จำนวน 4,000 บาท เท่ากับว่ามีเงินต้นคงเหลือ 16,000 บาท เพราะนาย F ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยและต้องนำเงินที่ได้รับมาหักลบกับเงินต้น แต่พอถึงกำหนดจ่ายเงินคืน นาย P กลับไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย นาย F ก็จะสามารถเรียกดอกเบี้ยผิดได้ 5% ต่อปี จากเงินต้น 16,000 บาท ได้ดอกเบี้ยผิดนัด 800 บาทต่อปีนั่นเอง

รู้แบบนี้แล้วจะให้ใครกู้ยืมเงิน หรือจะไปกู้ยืมเงินใครก็เช็คอัตราดอกเบี้ยให้ดี เพราะหากเรียกเกินไปดอกเบี้ยที่จะได้ก็เท่ากับศูนย์ หรือยอมจ่ายเกินไปก็เรียกเงินคืนกลับมาไม่ได้นะ

รู้หรือไม่?! ยื่นฟ้องต่อศาลโดยตรงได้ จะทำให้เรื่องถึงชั้นศาลได้เร็วขึ้น
JusThat ค่าบริการปรึกษาเริ่มต้น 1,500 บาท บริการส่งฟ้องทั้งคดีแพ่งและอาญา

  1. แอดไลน์ @justhatapp
  2. เริ่มต้นทำแบบประเมิน
  3. หากต้องการ ส่งฟ้องได้ทันที
Line-Chat-Portrait

รู้ไว้ใช่ว่า เงินประกันชีวิตไม่ใช่มรดก ไม่ตกทอดสู่ทายาท

รู้ไว้ใช่ว่า เงินประกันชีวิตไม่ใช่มรดก ไม่ตกทอดสู่ทายาท ตั้งแต่คลอดออกมาและอยู่รอดเป็นทารก คนคนนั้นจะมีสภาพเป็นบุคคล เมื่อมีสภาพบุคคลแล้วจะมีกองทรัพย์

Read More »

พยานหมาย ทำอย่างไรเมื่อได้รับหมายให้ไปเป็นพยานศาล

พยานหมาย ทำอย่างไรเมื่อได้รับหมายให้ไปเป็นพยานศาล อย่าเพิ่งตกใจ ถ้าคุณได้รับหมายเรียกให้ไปเป็นพยานศาล JusThat ได้นำข้อมูล หลักการปฏิบัติตัวในฐานะพยานศ

Read More »

รับช่วงสิทธิ คืออะไร

รับช่วงสิทธิ คืออะไร รับช่วงสิทธิ คืออะไร มีความสัมพันระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้อย่างไร JusThat จะพาไปหาคำตอบและทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กันในบทความนี้เลย

Read More »